Last updated: 28 ต.ค. 2567 | 53 จำนวนผู้เข้าชม |
เรามาทำความรู้จักกับ THE BRAVO บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายถ้วยรางวัล โล่รางวัล และเหรียญรางวัลทุกชนิด ที่เปิดตัวมาย่างเข้าสู่ปีที่ 9 โดยคุณ ภิญญาวีร์ ทวีพรวัชรานนท์ ที่มีชื่อเล่นว่า คุณ “Lucky” ผู้หญิงที่มีใบหน้าเปื้อนยิ้มอยู่ตลอดเวลา แต่ภายใต้รอยยิ้มนั้นกลับแฝงไปด้วยความมุ่งมั่นและท้าทาย พร้อมที่จะเอาชนะในทุกรูปแบบ และหากย้อนกลับไปในวัยเด็ก...เด็กหญิงลัคกี้ตามรอยคุณพ่อไปตีแบตมินตันด้วยความสนุกสนาน และจุดนี้เองคือที่มาของ THE BRAVO
“คุณพ่อของลัค เป็นนักกีฬาแบตมินตัน ที่ตีไปทุกสนาม เรียกว่า ตัวตึงของทบวงมหาวิทยาลัยเลยค่ะ ใครต่อใครก็เรียกคุณพ่อว่า “ป๋านึก” ตอนนั้นลัคอายุ 7 ขวบ ก็ตามไปเล่นไปตีด้วย ตีมาตลอดจนถึงขั้นเป็นตัวเยาวชนของจังหวัดนนทบุรี สุดท้ายก็เลิกเล่นด้วยเหตุผลที่ว่า “เบื่อ” แค่นั้นเองค่ะ จนเข้าเรียนมหาวิทยาลัยหัวเฉียว เพื่อนๆเค้าเห็นเราตีแบต ก็เลยชวนให้ไปแข่งกีฬาภายใน แข่งไปแข่งมาก็ชวนเป็นตัวแทนมหาวิยาลัย มีทั้งแพ้ชนะปะปนกันไปค่ะ ไปร่วมตีทั้งก๊วนเพื่อน ไปร่วมตีทั้งก๊วนป๋า ด้วยความที่ป๋าไม่เคยหยุดตีแบตเลย ทำให้คนรู้จักเค้าเยอะ และทุกคนก็รู้จักเราไปด้วยในฐานะ “ลูกสาวของป๋านึก” แต่เราไม่ชอบเลยเวลาที่ไปตีแบตกับป๋า แล้วเพื่อนป๋าเห็นเราคนเดียวก็มักจะถามว่า “อ้าว...ป๋าไม่มาเหรอ” ก็แอบเคืองในใจ “เรามาทำไม เพราะถามหาแต่ป๋า แล้วเราล่ะ ” ด้วยเหตุผลงี่เง่าของเราทำให้เรารู้สึกว่า สักวันจะต้องให้เพื่อนป๋าเดินไปถามป๋าบ้างว่า “ลัคกี้ ไม่มาเหรอ...ลัคกี้ไม่มาเหรอ” ด้วยเหตุนี้ลัคจึงยังไม่เลิกเล่นแบต
แต่เอาเป็นว่าตีไปทุกสนาม ก็ยังไม่มีใครรู้จักลัค เหมือนที่ทุกคนรู้จักป๋า ลัคเลยตั้งเป้าว่า “ทำไงก็ได้ให้คนรู้จักเรา เหมือนที่คนอื่นรู้จักพ่อเรา ”
“พ่อ” ผู้เป็นกำแพงที่ท้าทาย และ Idol ที่ภูมิใจ
จากความมุ่งมั่นที่อยากเป็นที่รู้จักเหมือนคุณพ่อ กำแพงที่ต้องเอาชนะ ทำให้คิดแผนการสร้างตัวตนขึ้นมา เพื่อการยอมรับของทุกคน โดยเฉพาะ การยอมรับของคุณพ่อด้วยเช่นกัน
ตอนนั้นลัคอยากเอาชนะ อยากให้ทุกคนรู้จัก และเรียกชื่อเราบ้าง ในใจก็เลยคิดว่า “ฉันจะต้องทำยังไงก็ได้ ให้คนรู้จักฉันให้ได้” ก็เลยนึกถึงการจัดงานแข่งแบตมินตัน ที่ป๋าเคยจัด” แต่ลัคคิดว่า “ถ้าจัดเล็กๆ ไม่กี่คอร์ด ใครๆก็จัดกันเยอะแยะ เราก็เลยคิดการณ์ใหญ่ ไหนๆจะทำแล้วก็จัดใหญ่ซะเลย ตอนนั้นอายุ 21 แล้วค่ะ ก็เลยคิดว่า “ฉันจะต้องเป็นคนจัดแข่งแบตที่อายุน้อยที่สุด” และ “ต้องเป็นสนามแบตที่ใหญ่ที่สุดด้วย” เดินไปบอกป๋าเลยค่ะ ไปด้วยความมาดมั่นตั้งใจมาก ปรากฏว่าโดนป๋าซัดเลย คือป๋ามีเหตุผลนานัปการที่ไม่ให้เราจัด และตั้งกฎเกณฑ์ 7 ข้อให้ทำ ถ้าทำไม่ได้ก็จัดไม่ได้ และเหตุผลนึงที่ลัคจำได้แม่นเลยที่ป๋าบอกคือ “ลัคไม่มีทางประเมินมือคนที่เค้าแข่งได้ ถ้าลัคไม่รู้จักเค้า” ป๋าพูดต่ออีกว่า “หนูจะทำยังไงถ้ามีคนมางานแข่งของหนูแล้วเค้าโกงมือ ถ้าเค้ามาลงระดับเลเวล S แต่เค้าเป็นมือโปร หนูจะรู้ได้ยังไง...หนูเพิ่งกลับมาตีแบต หนูรู้จักทุกคนแล้สเหรอ?” ลัคก็สวนกลับเลย “ถ้าลัคทำได้ 7 ข้อ ป๋าจะให้จัดใช่มั้ย” “ถ้าทำครบจัดเลย...อยากทำ ทำเลย” ป๋าตอบกลับเท่านั้น
“มนุษย์สุดโต่ง...ที่ไม่มีคำว่าทำไม่ได้ในบทบัญญัติ”
ด้วยความท้าทายและอยากเอาชนะ ด้วยแรงผลักดันภายในใจ ทำให้คุณลัคกี้วิ่งรอกแข่งตีแบตไปทั่วทั้งกรุงเทพ นนทบุรี ปทุมธานี ราชบุรี ยาวไปถึงกาญจนบุรี ตีทุกวัน ...จันทร์ถึงอาทิตย์ ...เพื่อให้ตัวเองรู้จักคนเยอะขึ้น และคนอื่นก็รู้จักตัวตนมากขึ้นเช่นกัน
“ลัค” เริ่มดูคนออก เริ่มดูมือคนเป็นว่าเค้ามีฝีมืออยู่ในระดับไหน จนเวลาล่วงไปกว่า 6 เดือน วันนึงป๋าก็ถามลัคว่า “ยังอยากจัดอยู่มั้ย” ลัคจำวันนั้นได้แม่นยำ วันนั้นเราไปตีแบตกันที่ ”สนามฮิปโป”อยู่ตรงทางด่วนศรีสมาน ซึ่งป๋าจะตีแบตที่สนามนี้เป็นประจำอยู่แล้ว และตอนที่เดินเข้าไป มีคนที่ป๋าไม่รู้จักมาคุยกับเรา จากที่คนรู้จักแต่ป๋า กลายเป็นว่า คนที่เค้าไม่รู้จักมารู้จักเรา มาทักทายเราแทนที่จะเป็นป๋า เหตุการณ์นั้นแหล่ะค่ะ ที่ทำให้ป๋าถามลัคอีกครั้ง และด้วยความที่ลัคมีนิสัยส่วนตัวที่เวลาจะทำอะไรต้องทำให้ได้ ไม่มีคำว่า “ไม่ได้”ในบทบัญญัติของลัค จะเรียกว่า “มนุษย์สุดโต่งก็ได้”
“สกิลประเมินขั้นเทพ”
“ลัคกลายเป็นผู้จัดแข่งแบตมินตันที่อายุน้อยที่สุด และสนามที่ใหญ่ที่สุดได้ด้วยอายุ 21 ปี กับสนามแบตเขี้ยวลากดิน 25 คอร์ด ที่เพิ่งเปิดและใหญ่ที่สุด ณ ตอนนั้น ที่สำคัญวันนั้นเป็นวันเกิดป๋าด้วยค่ะ” ลัคใช้หลัคการประเมินส่วนตัวจับคู่การแข่งขันแต่ละคู่ รู้ฝีมือแต่ละคน แล้วต้องจับคู่แข่งแบบไม่ให้มีใครได้เปรียบ หรือเสียเปรียบกัน จนหลายคนออกปากว่า จับคู่แข่งได้มันมาก สูสีมาก ตอนนั้นคนเข้าแข่งทั้งหมด 600-700 คน ถือว่าเยอะมากๆค่ะ ใช้เวลาแข่งตลอดทั้งวันจนถึงตี 2 เรียกว่านวันเดียวจบงาน รายได้ทุกบาททุกสตางค์ทำบุญทั้งหมด เพื่อเป็นของขวัญวันเกิดให้ป๋า...”และวันนั้นคือวันที่เราทำให้ทุกคนรู้จักเราได้แล้ว และลัครู้สึกได้จากสายตาป๋าว่า เค้าทึ่งเรา ที่เราทำได้”
“ผู้ให้กำเนิด ถ้วยรางวัลที่แท้ทรู !”
นอกจากจะเป็น “มนุษย์สุดโต่งแล้ว” ยังเป็น”มนุษย์สุดขยัน” อีกด้วย เพราะทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเองและส่งให้ครอบครัวได้ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยปี 1 ไม่ว่าจะเป็นติวเตอร์สอนภาษาจีน ภาษาอังกฤษ ทำบล็อค ทำเว็ปไซต์ และเชี่ยวชาญการทำ SEO จากการเรียนรู้ด้วยตัวเอง จนเปิดศูนย์สอนพิเศษเป็นของตัวเอง เพื่อเป็นนายหน้าหาติวเตอร์สอนนักเรียน นักศึกษา รวมถึงเขียนบทความเอย หาลูกค้าเอย ตอบแชทด้วยตัวเองทั้งหมด...จากรายได้หลัคพันกลายเป็นหลัคแสน สามารถส่งตัวเองจนจบมหาวิทยาลัยได้ แม้ว่าจะทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย แต่การจัดงานแข่งแบตมินตันก็ยังต้องทำควบคู่กันไป
“การจัดแข่งแบตใช้เงินเยอะมาก แม้จะไม่เข้าเนื้อก็ตาม เพราะลัคหาสปอนเซอร์เองทั้งหมด แต่ลัคก็ไม่ได้รายได้เลยสักบาทจากการจัดงานแต่ละครั้ง ก็มานั่งคิดนอนคิดว่า “เราต้องทำอะไรสักอย่างให้ได้ตังค์”
ประจวบเหมาะในปีที่จัดการแข่งครั้งที่ 2 อยู่ๆแม่ก็ถามว่า “ได้ถ้วยรางวัลหรือยัง” เราก็บอกว่า “ยัง” แม่บอกว่ามีร้านถ้วยรางวัลอยู่ปากซอยนะ ...ได้ยินอย่างนั้น ลัคก็ไปคุยกับร้าน เค้าแนะนำให้เราลองเอาถ้วยเค้าไปขายในวงการแบตมินตันที่เราไปเล่นอยู่ ณ ตอนนั้นยังไม่ทันคิดอะไร...แต่พอคิดว่าเราต้องทำอะไรสักอย่างให้ได้เงินมา ก็กลับคิดว่า “ลองดูมั้ย...แต่ความจริงไปลองดูดวงนะคะ” ลัคไปไหว้พระที่วัดแห่งหนึ่ง แล้วเจอผู้หญิงขายพวงมาลัยทักว่า “เดี๋ยวจะมีผู้หญิงแก่ๆพาเราได้ธุรกิจนะ” ไอ้เราก็นอนคิดว่าใครน้อ “ผู้หญิงแก่ๆคนนั้น” เราก็พยายามหาว่าจะเป็นใครน้อ ผ่านไป 2 อาทิตย์ก็ปิ้งไอเดียขึ้นได้ว่า “ขายถ้วยรางวัลมั้ยล่ะ” ก็เลยนึกถึงพี่คนนั้นที่ชวนขาย จากนั้นก็เริ่มทำแคตตาล๊อคถ้วยรางวัลเสนอขายงานแบตต่างๆ ..และมานึกได้ว่า ผู้หญิงแก่ๆคนนั้น “แม่เราเองนี่นา” ที่พาเราไปซื้อถ้วยรางวัลหน้าปากซอย
“เนรมิตบ้านเป็น Showroom ถ้วยรางวัล...ด้วยเงิน 2000 บาท”
จุดเริ่มต้นที่ต้องการหารายได้เพิ่ม จึงทำจับธุรกิจขายถ้วยรางวัล โดยสั่งถ้วยจากร้านหน้าปากซอยแถวบ้าน และด้วยความเป็นคนช่างซักช่างถาม ใคร่อยากรู้ในวิชาชีพ อะไรที่ทำไม่ได้ อะไรที่ไม่รู้คุณลัคกี้ก็สอบถามรายละเอียดต่างๆไม่ว่าจะเป็นการแปะแผ่นจารึก ประกอบถ้วย ผูกโบว์ ล้วนมาจากการสนใจใคร่รู้ของตัวเองทั้งสิ้น และชักชวนคุณพ่อกับคุณแม่มาช่วยกันทำช่วยกันขาย โดยแต่ละท่านมีหน้าที่แบบตึงมือสุดๆ คุณพ่อช่วยลูกสาวทำกราฟฟิก ประกอบถ้วย คุณแม่ช่วยส่งของ และผูกโบว์ เรียกว่านี่จุดเริ่มต้นของธุรกิจครอบครัวโดยแท้
“ ช่วงนั้นช่วยกันทำช่วยกันขาย จำได้ว่าตอนนั้น ลัคมีเงินอยู่ 2000 บาท อยากทำชั้นโชว์ถ้วย ก็บอกให้ป๋าทำให้หน่อย มีเงินเท่านี้นะ ถ้ามากกว่า ให้ป๋าออกให้ จำได้อีกว่า วันที่ป๋าทำชั้นเสร็จ เป็นวันที่ลัคเรียนจบพอดี ก็กลับมานั่งดูชั้นวางถ้วยของตัวเองด้วยความรู้สึกภูมิใจ ลัคเริ่มเอาบ้านมาทำโชว์รูม โดยขอห้องเล็กๆข้างบ้านของป๋ากับแม่ที่มีขนาด 3x3 ตารางเมตร มาทำเป็นร้านขายถ้วยของเรา ช่วงแรกลัคไปขอถ้วยพี่เค้ามาวาง เค้าก็ใจดีบอกว่าอันนี้ไม่ได้ใช้แล้ว มันมีตำหนิเอาไปเถอะ เราก็เอามาตั้งสวยๆ และก็บอกกับเพื่อนพ่อทุกคนว่าเรามีร้านถ้วยนะ จะจัดแข่งแบตบอกนะ เค้าก็ส่งงานมาให้เราตลอด
เรียกว่าการตลาดใกล้ตัวจนเป็นที่รู้จักมากขึ้น ขายดิบขายดี จากเดือนละ 10 ใบ ตั้งเป้าอธิฐานในใจ เดือนนึงมี 30 วัน ขอให้เดือนละ 30 ใบ สุดท้ายทำได้เดือนละ 30 ใบ ตอนนั้นดีใจมาก แต่ยังคั่ ยังไม่พอ ลัคขออีก ขอเดือนละ 60 ใบเลยคราวนี้...ก็ได้อีกตามเป้า แต่เกิดอะไรขึ้นรู้มั้ยค่ะ 3 คนพ่อแม่ลูก ทำไม่ทัน ...ทำไงดีล่ะทีนี้มีญาติคนไหนว่างงานมั่งเกณฑ์มาให้หมด ไม่ว่าจะเป็นคนแรก พี่ชายป๋า ทำหน้าที่ตัดป้ายจารึก อากู๋ ที่เราไปรับถึงอยุธยาให้มาอยู่ด้วยช่วยประกอบถ้วย น้าชายแม่จากขับรถแท็กซี่ ก็ชวนมาขับรถส่งถ้วยให้เรา ธุรกิจเริ่มโตขึ้นล่ะ ทีมมีล่ะ แต่บ้านไม่พอวางถ้วย เอาไงดีอีกล่ะ ที่บ้านเรามีต้นมะม่วงต้นใหญ่ที่ป๋าปลูกไว้ และเข้าใจว่า ป๋ารักของเค้า ก็เลยไปขอป๋าเอาออกเถอะต้นมะม่วงต้นนี้ เรียกว่าทะเลาะกันใหญ่โตเลยกว่าป๋าจะยอมให้ตัดออก เพื่อมาขยายร้านถ้วยรางวัลของเรา คือตอนแรกป๋าเค้าก็พยายามเอาเต้นท์มาวางให้ ขยับไปจุดนั้นจุดนี้ให้ แต่มันก็ไม่พอ สุดท้ายจำต้องตัดใจนั่นล่ะค่ะ กลายเป็นว่า บ้านทั้งหลังของป๋ากับแม่ก็กลายเป็นบริษัทถ้วยรางวัลของครอบครัวไปเลยค่ะ
“และนี่เองคือจุดเริ่มต้นของ THE BRAVO ถ้วยและเหรียญ เส้นทางชัยชนะของคุณลัคกี้ ที่มีครอบครัวพร้อมสนับสนุนและผลักดันไปพร้อมกัน แม้ในระหว่างทางจะพบเจออุปสรรค แต่เพราะความมุ่งมั่นหรือเพราะดื้อในในสิ่งที่ฝัน จึงเอาชนะใจพ่อแม่และสานฝันไปพร้อมกันได้สำเร็จ แต่นี่เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น ก้าวต่อไปที่มีชัยชนะเป็นเป้าหมาย กลับไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ อะไรคือเครื่องถางขวากหนามนั้นได้ คุณลัคจะมาเล่ากันต่อในบทถัดไป”